top of page

5 ประเด็นที่น่าสนใจหลังพรีเมียร์ลีก กลับมาโม่แข้งอีกครั้ง


แฟนลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คงจะต้องใช้เวลารอยคอยสักพัก เพื่อกลับมาชมเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีอีกครั้ง เนื่องจากในเวลานี้ฟุตบอลจำเป็นต้องหยุดแข่งเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือชื่ออย่างเป็นทางการ "โควิด-19"

ตามหมายกำหนดการที่ได้มีการประชุมกันครั้งล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า เกมลูกหนังเมืองผู้ดี จะต้องพักไปจนกระทั่งวันที่ 30 เมษายนเป็นอย่างน้อย และเมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายแล้ว ทุกๆ สโมสรจะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง เพื่อจะได้ทำให้ฤดูกาลนี้จบสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

แน่นอนว่าเมื่อมีการกลับมาแข่งขันกันใหม่ ทุกอย่างจะกลับมาขับเคี่ยวกันอีกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องการลุ้นแชมป์ลีก ซึ่งดูเหมือน ลิเวอร์พูล จะค่อนข้างมีโอกาสสูงจากการทำแต้มทิ้งห่างถึง 25 คะแนน ขณะที่การลุ้นโควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็สนุกสูสี เช่นเดียวกับการเบียดพื้นที่อยู่รอดในลีกสูงสุด


1. ลิเวอร์พูล กำลังจะผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก     ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ "โควิด-19" มีความเป็นไปได้สูงที่ ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เนื่องจากพวกเขามีคะแนนทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปไกลสุดกู่ถึง 25 คะแนนเลยทีเดียว

แม้ว่าจะทำแต้มทิ้งห่าง แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า "เดอะ เร้ดส์" จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือไม่ถ้าหากฤดูกาลนี้ต้องตัดจบเพราะการแพร่ระบาดชองเชื้อไวรัสมรณะ  เพราะตามทฤษฏีและตามหลักคณิตศาสตร์ทัพ "เรือใบสีฟ้า" ยังสามารถที่จะพลิกนรกแซงพวกเขาคว้าแชมป์ได้ แต่อัตราความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

สำหรับตอนนี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ เก็บไปแล้ว 82 คะแนน และเหลือเกมลงสนามอีกแค่ 9 แมตช์เท่านั้น ซึ่งพวกเขาต้องการชัยชนะแค่ 2 แมตช์ ก็เพียงพอที่จะทำให้ทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีสมัยแรกในรอบ 3 ทศวรรษเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามการต้องหยุดแข่งขันชั่วคราวอย่างน้อยถึงวันที่ 30 เมษายน ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดลงเล่น 6 แมตช์ต่อจากนี้ได้แก่เกมพบ คริสตัล พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน, แมนฯ ซิตี้, แอสตัน วิลล่า, ไบรท์ตัน และ เบิร์นลี่ย์ โดยเมื่อกลับมาแข่งใหม่ "หงส์แดง" จะต้องปะทะกับ อาร์เซน่อล วันที่ 2 พฤษภาคม ก่อนจะเจอ เชลซี และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ตามลำดับ

เพียงแค่ชนะ อาร์เซน่อล และ เชลซี ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ลีกที่รอคอยมานาน พร้อมกับมุ่งหน้าไปเยือนถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเกมลีกพอดิบพอดี กระนั้นยังมีเรื่องที่น่าสนใจก็คือ ลิเวอร์พูล จะสามารถทำลายสถิติเก็บคะแนนเกิน 100 แต้มที่ แมนฯ ซิตี้ ทำเอาไว้ในฤดูกาล 2017/18 ได้หรือไม่

2. การลุ้นตั๋วไปลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก     แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ตีตั๋วไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบแบเบอร์ไปแล้ว เช่นเดียวกับ แมนฯ ซิตี้ (แทบจะแน่นอน) และ เลสเตอร์ ซิตี้ ( มีโอกาสเป็นไปได้สูง) ฉะนั้นพื้นที่สุดท้ายซึ่งมีการขับเคี่ยวกันตั้งแต่ทีมอันดับ 4 ไปจนถึงอันดับ 9 ยังมีลุ้นโควตานี้

ตอนนี้ เชลซี รั้งติดอันดับท็อปโฟร์ โดยมี 48 คะแนน แต่ทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" มีโอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำได้เพราะ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมที่จะแซงหน้าพวกเขาเนื่องจากตอนนี้ทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตามหลังแค่ 3 คะแนนเท่านั้น

ที่สำคัญ "เร้ด เดวิลส์" กำลังฟอร์มร้อนแรงนับตั้งแต่ที่ได้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส มาร่วมทีม ซึ่งพวกเขาเก็บชัยชนะ 3 กม และเสมอ 2 แมตช์จาก 5 เกมหลังจากในลีกซะด้วย ขณะที่ วูล์ฟส์ แฮมป์ตันวันเดอเรอร์ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งมี 43 คะแนนเท่านั้น ก็พร้อมที่จะแย่งชิ้นปลามันไปกินเช่นกัน

ขณะที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ อาร์เซน่อล ยังมีโอกาสเช่นเดียวกันแม้จะต้องเจอกับฤดูกาลที่ยากลำบาก เนื่องจากทั้งสองสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม โดย "ไอ้ปืนใหญ่" ภายใต้การบริหารทีมของ มิเกล อาร์เตเต้า เก็บชัยชนะในลีก 3 แมตช์ติดต่อกันแถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด

อย่างไรก็ตามมีจุดเปลี่ยนสำคัญจากกรณีที่ แมนฯ ซิตี้ โดน ยูฟ่า สั่งลงโทษห้ามลงแข่งในเกมที่องค์กรจัดเป็นเวลา 2 ปี และหาก "เรือใบสีฟ้า" ยื่นอุทธรณ์กับศาสอนุญาโตตุลาการกีฬาไม่สำเร็จ งานนี้ทีมอันดับ 5 ก็ถือว่าส้มหล่น จะได้ตั๋วสำคัญไปลุยโทรฟี่ "บิ๊กเอียร์"


3. แมนฯ ซิตี้ อุทธรณ์สู้คดีโดน ยูฟ่า สั่งแบน     แม้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะการันตีอันดับ 2 ค่อนข้างแน่นอน แต่ในฤดูกาลหน้าพวกเขายังไม่ชัวร์ว่าจะได้สิทธิ์ไปลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก

จากกรณีที่ ยูฟ่า มีคำสั่งตามคำตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด สั่งห้าม "เรือใบสีฟ้า" ลงแข่งขันในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงรายการอื่นๆ ในเวทียุโรป จำนวน 2 ฤดูกาล โทษฐานทำความผิดอย่างรุนแรงต่อกฎควบคุมการเงิน หรือ "ไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์" อย่างไรก็ตาม แมนฯ ซิตี้ ได้อุทธรณ์ต่อศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (ซีเอเอส) ไปแล้ว

งานนี้มีการคาดการณ์ว่าผลการตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการกีฬาน่าจะออกมาอย่างเร็วที่สุดก็ช่วงต้นซัมเมอร์นี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว และการตัดสินต้องล่าช้าออกไป หลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ฉะนั้นบรรดาทีมที่ลุ้นตั๋วใบสุดท้ายไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก คงต้องมีใจจ่ดจอคำตัดสินว่าจะออกมาเป็นยังไง ขณะเดียวกันทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็คงภาวนาให้มีการพลิกคำตัดสิน ไม่งั้นพวก ซีเอเอส ยืนยันคำตัดสินของ ยูฟ่า งานนี้ "เรือใบสีฟ้า" อาจโดนลงโทษเพิ่มจาก พรีเมียร์ลีก  ที่เล็งเอาผิดพวกเขาเช่นกัน

4. การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด     การแย่งชิงพื้นที่ไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปว่าเข้มข้นแล้ว การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ก็ต้องบอกว่าสูสีสุดๆ เช่นกัน เพราะ นอริช ซิตี้ แม้จะรั้งบ๊วยด้วยการมี 21 คะแนน แต่พวกเขาต้องการแค่ 6 คะแนนก็จะอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี

ขณะที่ แอสตัน วิลล่า มี 25 คะแนนรั้งอันดับรองบ๊วย และมีแต้มห่างจาก ไบรท์ตัน ทีมอันดับ 15 เพียงแค่ 4 คะแนนเท่านั้น และยังแข่งน้อยกว่าทีมอื่นในโซนตกชั้นซะด้วย นั่นทำให้ "สิงห์ผงาด" ค่อนข้างได้เปรียบในการที่จะหนีจากการหล่นไปเล่นในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ

แม้ว่า "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, "แตนอาละวาด" วัตฟอร์ด และ บอร์นมัธ มี 27 คะแนนเท่านั้น แต่เวสต์แฮม มีอันดับเหนือกว่าทั้งสองทีมเพราะผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าเท่านั้น ฉะนั้นสถานการณ์เหล่านี้อาจจะพลิกผันไปได้เมื่อเกมลีกกลับมาเตะใหม่อีกครั้ง

5. ลุ้นรางวัลรองเท้าทองคำ     การลุ้นรางวัลดาวซัลโวสูงสุดในฤดูกาลนี้มีความสูสีกันมากๆ โดย เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอก "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ รั้งอันดับ 1 ด้วยการซัดไปแล้ว 19 ประตู ขณะที่ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้า อาร์เซน่อล ยังทำผลงานได้ร้อนแรงในซีซั่นนี้ด้วยการตะบันไป 17 ประตู

งานนี้ โอบาเมยอง มีโอกาสที่จะคว้ารางวัลรองเท้าทองคำนี้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน หลังจากที่ กัปตัน "เดอะ กันเนอร์ส" คว้ารางวัลนี้ร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ สองประสานจอมถล่มประตูจากทัพ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา

ขณะเดียวกับ "บังโม" ก็กำลังกลับมายิงประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ได้เป็นกอบเป็นกำ เช่นเดียวกับ เซร์คิโอ "กุน" อเกวโร่ ดาวเตะ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทั้งสองคนยิงประตูได้เท่ากันที่จำนวน 16 ลูก ในส่วนของ แดนนี่ อิงส์ หัวหอกร้อยรอยสัก เซาธ์แฮมป์ตัน ก็ยังมีลุ้นเพราะซัดไป 15 ประตู เช่นเดียวกับ มาเน่ ที่ตะบันไปแล้ว 14 ลูก บอลออนไลน์

3 views0 comments

Comments


bottom of page